วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

วิชั่นหมอยาไทย แต่ไร้การสนับสนุน

  วิชั่นหมอยาไทย แต่ไร้การสนับสนุน  
  ......โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 23 เม.ย. 2558 05:01......  
พืชสมุนไพร”...เป็นสิ่งที่อยู่คู่คนไทยมานับพันปี แต่เมื่อการแพทย์แผนปัจจุบันเริ่มเข้ามามีบทบาทในบ้านเรา สรรพคุณและคุณค่าของสมุนไพรอันเป็นสิ่งที่เรียกได้ว่าภูมิปัญญาโบราณก็เริ่มถูกบดบังไปเรื่อยๆ และถูกทอดทิ้งไปในที่สุด
ความจริงคนส่วนใหญ่ต่างทราบดีว่า “สมุนไพรไทย”...เป็นสิ่งที่มีคุณค่าใช้ประโยชน์ได้จริง และใช้ได้อย่างกว้างขวาง แต่เป็นเพราะว่าเราใช้วิธีรักษาโรคแผนใหม่มานานมากเลยทำให้วิชาแพทย์แผนโบราณที่มีสมุนไพรเป็นยาหลักถูกลืมไป แต่ภายหลังสรรพคุณของยาสมุนไพรไทยได้ขจรไกลไปทั่วโลกสามารถรักษาโรคชนิดต่างๆได้ ทำให้คนป่วยหลากหลายโรคต่างพากันเสาะแสวงหายาดีที่ไม่ต้องพึ่งพายาต่างประเทศที่มีราคาแพง
          รวมถึงชาวต่างประเทศจำนวนไม่น้อยที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล ก็เพื่อต้องการใช้ยาสมุนไพรไทยในการรักษาโรคร้ายต่างๆ ที่วงการแพทย์แผนปัจจุบันยังไม่สามารถที่จะรักษาให้หายขาดได้
          ปัญหามีว่า...ปัจจุบันสมุนไพรไทยกลับไม่ได้รับการสนับสนุน เท่าที่ควรจากรัฐบาล ทั้งที่สรรพคุณสามารถรักษาผู้ป่วยได้ดีกว่ายาต่างประเทศที่ต้องสั่งเข้ามาปีละหลายหมื่นล้านบาท?
          “หมอเณร” หรือชื่อจริงตามบัตรประชาชนว่า นายชัยรัตน์ นนทชัย เจ้าของสวนสมุนไพรหมอเณร ตั้งอยู่ที่บ้านเลขที่ 36 หมู่ 10 ถนนบ่อพลอย-อู่ทอง ต.สระลงเรือ อ.ห้วยกระเจา จ.กาญจนบุรี
กล่าวว่า โรคร้ายต่างๆที่แพทย์แผนปัจจุบันรักษาไม่หายขาดนั้น สมุนไพรสามารถรักษาให้หายได้
          โดยเฉพาะเบาหวานและโรคหัวใจ สมุนไพรไทยเราสามารถรักษาจนหายขาดมามากแล้วจนเป็นที่ทราบกันอย่างกว้างขวาง มีหลักฐานและตัวตนให้สอบถามได้ โดยเฉพาะโรคหัวใจนั้นรักษาให้หายขาดถึงร้อยละ 99 ดังนั้นจึงขอฝากให้ผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจทราบว่าไม่ต้องไปผ่าตัด ไม่ต้องไปฝังแบตเตอรี่ เครื่องกระตุ้นหัวใจ เพราะว่าทำไปก็ไม่หายต้องรักษาด้วยสมุนไพร เพื่อสร้างสุขภาพให้สมบูรณ์ก็จะหายขาดจากโรคภัยต่างๆได้
          “หมอเณร” อธิบายเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า ก่อนอื่นคงต้องทำความเข้าใจว่าการที่มนุษย์เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆนั้น เป็นผลมาจาก “ระบบภูมิ” ที่บกพร่องหรือไม่สมดุล
          ดังนั้น...การรักษาก็คือการปรับระบบภูมิให้กลับคืนสู่ความสมดุลด้วย “ยาปรับภูมิ
          คนที่ภูมิบกพร่องจะแสดงอาการให้เห็น เช่น เหนื่อยง่าย ชาตามแขนตามขา ฯลฯ ขึ้นอยู่กับว่าอาการของคนคนนั้นมากน้อยเพียงใด
          “ต้องปรับภูมิในร่างกายให้สมดุลก่อน แต่ผลของศาสตร์การแพทย์แผนตะวันตกที่เข้ามายึดครองประเทศไทยไว้ ส่งผลทำให้ภูมิปัญญาการรักษาโรคของไทยจำนวนไม่น้อยสูญหาย ไร้การสืบทอดไปอย่างน่าเสียดาย”
          ยกตัวอย่าง “โรคหัวใจ” ปัจจุบันวิธีการรักษาแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์มุ่งไปที่การผ่าตัดเป็นหลัก ทั้งที่ความจริงแล้วสามารถรักษาได้ด้วยตำรับยาสมุนไพรไทยหรือยาปรับภูมิ
          “การรักษาโรคหัวใจด้วยการผ่าตัดเป็นการรักษาที่ไม่ถูกต้อง เป็นการรักษาที่ปลายเหตุ สิ่งที่ถูกต้องคือการกินยาเพื่อปรับภูมิให้สมดุล ซึ่งยาที่รับประทานก็ไม่ใช่ยาสมุนไพรเดี่ยวๆ แต่ต้องเป็นตำรับยาที่ประกอบด้วยยาหลายชนิด”


          การรักษาโรคหัวใจต้องกินยาชุดถึง 3 ชนิดคือ

          หนึ่ง...ยาสร้างภูมิ
          สอง...ยาช่วยปรับระบบหมุนเวียนเลือดให้กลับสู่ปกติ
          สาม...ยาสร้างเซลล์ของกล้ามเนื้อหัวใจขึ้นใหม่
         โดยแต่ละตัวประกอบด้วยสมุนไพร 20-30 ชนิด

          สำหรับ “ยาสร้างภูมิ”...ต้องวิเคราะห์ร่างกายของแต่ละคนด้วยว่าเป็นอย่างไร โดยพิจารณาง่ายๆ คือ ถ้าผู้ป่วยคอแห้งต้องให้กินยาหม้อสูตรเย็นที่ประกอบไปด้วยสมุนไพร อย่างเช่น เกสรบัว ดอกพิกุล แต่ถ้าผู้ป่วยคอไม่แห้งต้องให้กินยาผงสูตรร้อนที่ประกอบไปด้วยสมุนไพรอย่างเช่น แห้วหมู ดีปลี ลูกผักชี เป็นต้น
          ต่อจากนั้น...จึงจะให้กินยาช่วยปรับระบบหมุนเวียนของเลือด ซึ่งจริงๆแล้วยาสูตรนี้ไม่ได้รักษาเฉพาะหัวใจอย่างเดียว แต่สามารถใช้ได้กับผู้ป่วยที่เป็นโรคเกี่ยวกับปอด ตับ และไตได้อีกด้วย
          ที่ต้องเน้นย้ำ...การกินอาหารตะวันตก ฟาสต์ฟู้ดเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดโรคมากมาย ควรกลับมากินอาหารแบบไทยมีผัก สมุนไพรที่เป็นประโยชน์กับร่างกาย จะช่วยป้องกันโรคภัยที่จะมาเยือนได้เป็นอย่างดี
          ขณะเดียวกัน อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การส่งเสริมสมุนไพรไทยให้มีสภาพที่ดีอยู่กว่าปัจจุบัน เพราะเป็นภูมิปัญญาที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผล ที่สำคัญคือไม่ต้องเสียเงินเสียทองให้ต่างชาติ ขอฝากไปถึงรัฐบาล...ให้ช่วยหันมาสนใจในเรื่องของสมุนไพรและให้การสนับสนุนด้วยจะได้ไม่ต้องไปซื้อเครื่องกระตุ้นหัวใจและหัวใจเทียมจากต่างประเทศปีละนับพันล้านบาท หรือสั่งซื้อยาจากต่างประเทศปีละหลายหมื่นล้านบาท
          หมอเณร ย้ำว่า สมุนไพรของไทยเรานั้นสามารถรักษาให้หายขาดได้ และอย่าไปเชื่อนักวิจัยให้มากจนเกินไปเพราะว่าเพิ่งจะมาทำกันเมื่อไม่กี่ปีมานี่เอง ส่วนสมุนไพรยาโบราณนั้นมีมาเป็นพันๆปีแล้ว
          “ถ้านายกรัฐมนตรีให้การสนับสนุน...ยาสมุนไพรไทยก็จะเป็นที่ยอมรับของชาวต่างชาติแน่นอน และชาวโลกจะต้องทึ่งในความมหัศจรรย์ของสมุนไพรไทยที่ทรงคุณค่ามหาศาล”
          กรณีศึกษา ทศพร อยู่ฤทธิ์ อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 75 หมู่ 3 ต.ท่าเสา อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ผู้ป่วยโรคหัวใจที่มารักษาตัวที่สวนสมุนไพรหมอเณร เล่าให้ฟังว่า ครอบครัวของเขามีอาชีพค้าขายกล้วยฉาบและอาหารตามสั่ง ชื่อร้านกล้วยฉาบ แม่ลำเพย ตั้งอยู่ตรงข้ามกับน้ำตกไทรโยคน้อย อำเภอไทรโยค
          เมื่อประมาณเดือนตุลาคม 2556 ขณะที่กำลังขายของรู้สึกเหนื่อยหมดแรง แน่นหน้าอก อาเจียนเป็นเลือด นอนก็ไม่ได้ หายใจไม่ออกต้องอาศัยโซฟาสำหรับนั่งหลับ ญาติจึงนำตัวไปรักษาครั้งแรกที่โรงพยาบาลสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม ผลการตรวจของหมอพบว่าป่วยเป็นโรคหัวใจโต ลิ้นหัวใจรั่ว 2 ลิ้น เส้นเลือดหัวใจตีบ 1 เส้น ไตวายเฉียบพลัน เลือดจาง กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรงเหลือ 20 เปอร์เซ็นต์
          หมอบอกว่าจะอยู่ได้อีกไม่เกิน 2 ปี ได้ฟังก็รู้สึกใจหาย คิดมาก... เคยคิดแม้กระทั่งจะฆ่าตัวตายด้วยการเดินไปให้รถชนหวังว่าจะให้แม่ได้เงินประกันอุบัติเหตุ แต่ครอบครัวก็คอยให้กำลังใจพยายามพาไปรักษาหลายที่
          ใครว่าที่ไหนดีก็ไป...เข้าโรงพยาบาลเอกชนก็หมดเงินไปเกือบ 3 แสน ลองกินยาสมุนไพรจีนที่มีคนเอามาขายขวดละ 1,500 บาท...(กิน 1 ขวดให้หมดภายใน 2 วัน)...ก็ลอง แต่ก็ไม่ดีขึ้นหมดเงินไปอีก 1 แสน แล้วก็มีคนแนะนำให้ไปกินยาสมุนไพรของฤาษีท่านหนึ่ง...จำชื่อไม่ได้แล้ว กินได้ 3 วัน ร่างกายก็บวมใหญ่ น้ำหนักขึ้นสูงถึง 174 กิโลกรัม
          พร้อมๆกับมีอาการไตวายเฉียบพลัน ฉี่ไม่ออก จนต้องหยุดกิน
         ป้าพาเข้ากรุงเทพฯไปรักษาตัว คุณหมอบอกตรงๆว่าอาการจะไม่ดีขึ้น ทรงตัว หรือไม่ก็จะแย่ลงและจะอยู่ได้อีกไม่นาน ก็ต้องทำใจ กระทั่งมีเพื่อนไปเจอข้อมูลสมุนไพรของหมอเณร ก็ตัดสินใจลองอีกครั้งแบบไม่ได้ไม่เสีย
          “ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าอาการจะดีขึ้นเรื่อยๆ น้ำหนักลดลง กินอาหาร... นอนหลับได้เป็นปกติ ที่สำคัญ...หมอที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯที่เคยไปรักษาได้ตรวจร่างกาย...ค่าเลือด ค่าไต ค่าตับกลับมาเป็นปกติทุกอย่าง หมอยังถามแบบงงๆว่า อาการกลับมาดีขึ้นได้อย่างไร”

          อโรคยา ปรมาลาภา ....ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ “มนุษย์”... คงไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ว่าเจ็บหรือตาย ทุกคนต้องเจออย่างแน่นอนแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น หากแต่ว่าการรักษาโรค เราจะเลือกรักษาแบบไหน...?  รักษาโรงพยาบาลเอกชน โรงพยาบาลของรัฐ หรือรักษาด้วยสมุนไพร ยาพื้นบ้านของเรา.


ขอขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ทและข้อมูลจาก  http://www.thairath.co.th/content/494410

6 สมุนไพรใกล้ตัวต้านความดันโลหิตสูง

6 สมุนไพรใกล้ตัวต้านความดันโลหิตสูง
        ผู้ป่วยโรคความดันโลหิต ต้องมีการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและพฤติกรรมในการรับประทาน ก็จะสามารถช่วยลดและบรรเทาความดันและความเสี่ยงจากภาวะความดันโลหิตสูงได้ การใช้สมุนไพรเป็นยาเพื่อลดอาการความดันโลหิต ก็นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ของการบำบัดโรคด้วยวิถีธรรมชาติ
        สมุนไพรลดความดันโลหิตสูง
สมุนไพรไทยที่สามารถลดความดันโลหิตสูงได้นั้นมีหลายชนิด บางอย่างอาจหายาก แต่ก็มีไม่น้อยที่สามารถหาได้ตามท้องตลาดทั่วไป อาทิตย์



1.กระเจี๊ยบแดง Roselle
ผักสากลช่วยคนได้ทั้งโลก เพราะความโดดเด่นที่เป็นสากลของกระเจี๊ยบคือ ไม่ว่ากระเจี๊ยบแดงจะไปงอกงาม หรือเติบโตในแคว้นถิ่นของประเทศไหน คนในประเทศนั้นๆ ก็จะมีการนำกระเจี๊ยบแดงมาใช้เหมือนๆ กัน คือ ใช้เพื่อเป็นยาลดความดันโลหิต
        กระเจี๊ยบเป็นสมุนไพรที่นำมาเป็นเครื่องดื่มแล้วให้รสชาติดี สีสวยเป็นที่นิยมขอคนทุกชนชาติ นอกจากรสชาติดีแล้ว ยังช่วยบำรุงร่างกายอีกด้วย สารสีแดงในกลีเลี้ยงกระเจี๊ยบแดงที่มีชื่อว่า แอนโธไซยานิน มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยกำจัดสารพิษ ส่วนที่เป็นกลีบเลี้ยงนี้ จึงเป็นส่วนที่นำมาใช้ตากแห้งและนำมาต้มกับน้ำร้อน ชงดื่มเป็นชากระเจี๊ยบ มีรายงานว่า การดื่มชากระเจี๊ยบวันละ 2-3 ครั้ง สามารถลดความดันโลหิตชนิด Diastolic หรือค่าความดันโลหิตขณะหัวใจคลายตัวลงได้ตั้งแต่ ร้อยละ 7.2 ถึง 13 นอกจากนี้ยังพบว่าสารแอนโธไซยานิน ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและสร้างความแข็งแรงให้กับหลอดเลือดอีกด้วย


2.ขึ้นฉ่าย Celery
สมุนไพรใกล้ตัว เป็นพืชผักล้มลุกในตระกูลเดียวกับผักชี การรับประทานโดยมาก นิยมนำใบและก้านมารับประทานสดหรือใส่ลงไปในอาหาร หรืออาจเลือกต้นสดๆ มาคันเป็นน้ำผัก กรองเอากากออก รับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะก่อนอาหาร เพื่อรักษาโรคความดันโลหิตได้ ขึ้นฉ่ายเป็นสมุนไพรที่มีโพแทสเซียมสูง ทำให้หลอดเลือดขยายตัว ช่วยลดความดันโลหิตสูง ขับปัสสาวะ รักษาโรคปวดข้อ เช่น รูมาติกและโรคเกาต์ มีโซเดียมอินทรีย์ที่สามารถช่วยปรับความเป็นกรดและด่างในเลือดให้สมดุล น้ำคั้นจากขึ้นฉ่าย มีสรรพคุณเป็นยากล่อมประสาท ทำให้รู้สึกสบาย และนอนหลับได้ดี

3.พลูคาว Plu Kaow

ผักพื้นบ้านทางภาคเหนือ และภาคอีสาน หมอยาทั่วไปทั้งหมอยาอีสาน ภาคเหนือหรือไทยใหญ่ มีความเชื่อว่ารับประทานคาวตองสดๆ กับน้ำพริก ลู่ ลาบ หรือใช้รากต้มกับปลาไหล รากตำเป็นน้ำพริก รับประทานเป็นยารักษาได้หลายโรค เช่น เบาหวาน ขับปัสสาวะ ช่วยรักษาความดันโลหิตสูง ในประเทศเกาหลีก็มีการนำพลูคาวไปเป็นยาลดความดันโลหิตสูง, ภาวะหลอดเลือดแข็งตัว เนื่องจากมีการสะสมของไขมัน (Atherosclerosis) และมะเร็ง

4.มะรุม Moringa

ครบถ้วนสารอาหาร ต้านความดันสูง มะรุมเป็นผักที่สามารถกินได้แทบทุกส่วน ตั้งแต่ ใบอ่อน ช่อดอก ฝักอ่อน อาจนำมาปรุงเป็นอาหารด้วยการนำไปลวก หรือนึ่งรับประทานคู่กับน้ำพริก หรือจะนำฝักอ่อนมาทำเป็นแกงส้ม ซึ่งมะรุมจะเริ่มมีฝักอ่อนออกมาในช่วงที่ฤดูกาลเปลี่ยนแปลงอย่างต้นฤดูหนาว การรับประทานมะรุมช่วยแก้ท้องผูก บำรุงสายตา และบำรุงกำลัง เป็นต้น
        การนำมะรุมมาใช้เป็นยาแก้ความดันโลหิตสูง ซึ่งมีหลายตำรับยาด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น การนำรากหรือยอดมาต้มกิน การนำรากมะรุมต้มกับรากย่านาง เพื่อรับประทาน หรืออีกตำรับคือ อาจนำยอดมะรุมสด ซึ่งเป็นยอดอ่อนหรือยอดแก่ก็ได้ นำมาโขลกคั้นน้ำ (ถ้าไม่มีน้ำให้เติมน้ำลงไปพอให้เหลวข้น) ผสมกับน้ำผึ้งพอหวาน รับประทานวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ ½ แก้ว สูตรยาตัวนี้จะช่วยลดความดันและยาแต่ละสูตรต้องรับประทานต่อเนื่อง เพราะถ้าหยุดยาความดันโลหิตก็เพิ่มขึ้นมาอีกได้

5.บัวบก Gotu Kola

พืชสมุนไพรที่มีฤทธิ์ในการสมานแผล และรักษาอาการอักเสบของแอลได้ดีขึ้น เพราะมีกรดมาเดคาสสิก (Madecassic acid) กรดเอเชียติก (Asiatic acid) และสารเอเชียติโคไซด์ (Asiatic side) นอกจากนี้บัวบกยังเป็นพืชสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง เนื่องจากบัวบกทำให้การไหลเวียนของเลือดทั้งในหลอดเลือดดำ และเส้นเลือดฝอยมีการไหลเวียนดีขึ้น มีคุณสมบัติขยายหลอดเลือด ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี ทำให้ลดความดันโลหิตได้

6.กระเทียม Garlic

พืชสมุนไพรและเครื่องสำคัญ เป็นที่นิยมโดยทั่วไปในครัวเรือน ใส่ในอาหารหลากหลากชนิด เช่น อาหารไทย อาหารอินเดีย กระเทียมมีรสเผ็ดร้อน กลิ่นฉุน รับประทานได้ทั้งแบบสด หรือจะนำไปดอง เป็นส่วนผสมสำคัญของอาหารหรือน้ำจิ้ม ซึ่งกระเทียมจะมีคุณสมบัติเด่น 2 ประการคือ
1.การทา กระเทียมมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อราและยับยั้งแบคทีเรีย
2.การรับประทาน กระเทียมมีสรรพคุณในเรื่องของการลดคอเลสเตอรอล ลดความดันโลหิต

มีรายงานการศึกษาพบว่า กระเทียมลดความดันโลหิตตัวบนได้ 12 มิลลิเมตรปรอท และลดความดันโลหิตตัวล่างได้ 9 มิลลิเมตรปรอท โดยสารอัลลิซินในกระเทียม ช่วยเพิ่มการสร้างไนตริกออกไซด์ มีผลในการขยายหลอดเลือด ทำให้ความดันโลหิตลดลง รับประทานกระเทียมเพียงวันละ 1-2 กลีบ แต่กระเทียมมีข้อควรระวังในผู้ป่วยที่ต้องทานยาละลายลิ่มเลือด เพราะจะไปเพิ่มฤทธิ์ของยาได้

---------------------------------------------------------------------------------
โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร
ขอขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ทและข้อมูลจาก http://health.haijai.com/3254/